Monday, July 16, 2007

ผี พระ และแขก

มาแล้วครับ ห่างหายไปเสียนาน รอข้อเขียนและจดหมายจากสหายเขตตาก แต่ยังไม่ได้รับ อาจเป็นเพราะยังเขียนไม่ออก,ติดภารกิจอื่น หรือแม้กระทั่งกำลังทบทวนความจำอยู่ ผมก็ถือโอกาสระหว่างที่รอ เติมข้อเขียนความทรงจำส่วนตัวไปพลางๆก่อน

เห็นหัวเรื่องที่จั่วไว้กรุณาอย่าคิดว่าผมจะเขียนอะไรที่ลุ่มลึกถึงความเชื่อความศรัทธา แต่เป็นปกิณกะเล็กน้อยอันเกิดจากความ "ไม่รู้"ของตนเองเป็นหลัก เมื่อมาทบทวนเพื่อเรียบเรียงก็เกิดอาการ "ขำ"ตัวเองขึ้นมา เอาละ แสดงว่าตรงตามเจตนาของหนังสือที่เป็นการ "ตากอากาศกลางสนามรบ" ขณะที่เขียนเรื่องนี้อยู่ ไฟใต้ไม่เพียงแต่ไม่สงบเท่านั้น กลับลุกลามไปถึงขั้นมีการพูดกันถึงเขตปกครองพิเศษกันแล้ว ส่วนพระท่านก็เพิ่งถอนจากการชุมนุมหน้ารัฐสภาเพื่อเรียกร้องให้บรรจุศาสนาพุทธลงในรัฐธรรมนูญ ยุ่งชะมัด งั้นเอาเรื่อง" ผี " ก่อนก็แล้วกัน

1. อยากรู้.......ถามลุง

มีเวลาแค่เดือนเดียว หลังจากที่รู้ว่าตัวผมเองต้องเดินทางเข้าป่า และ" ป่า"ที่จะต้องเข้าไปนั้น ก็เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของพี่น้องชนชาติกระเหรี่ยง จึงต้องพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับพี่น้องชนชาตินี้ไปพร้อมๆกับการเตรียมตัวเตรียมของเพื่อเดินทาง และเพื่อมิให้ผมไปทะเร่อทะร่าผิดผีผิดประเพณีที่นั่นเขา ทางผู้รับผิดชอบได้จัดศึกษาขึ้นหนึ่งครั้งที่เซฟเฮ้าส์แถวฝั่งธน มีผมเข้ารับฟังเพียงผู้เดียว

" ที่นั่นเขานับถือฤาษีกันอย่างที่ผมเล่ามา อ้อ แล้วนับถือผีด้วย คุณไปถึงที่นั่นแล้วต้องศึกษาให้ดี เพราะเคยมีสหายเราหลายคนไปทำผิดผีเพราะไม่ศึกษามาก่อน เช่น เคยมีสหายเราทานข้าวที่บ้านชนชาติแล้วด้วยความหวังดีจึงช่วยเขาเก็บถ้วยชามไปล้าง เนี่ย! ไปผิดผีเขาเข้า โทษถึงคอขาดเชียวนะคุณ" ผู้มาให้ความรู้สรุปให้ผมฟัง ผมใจหายวาบ นึกเถียงอยู่ในใจอ่อยๆว่า นี่ผมจะเข้าไปปฏิวัตินะครับ ไม่ใช่ไปเผยแพร่ศาสนามี่กาฬทวีป ตายห่า รู้งี้ขอไปอยู่ที่อื่นดีกว่า จะทำไงได้ เพราะจัดตั้งเป็นผู้กำหนดงานและเขตมาให้ผมไปที่นี่นี่นา จะไปที่อื่นก็คงไม่ได้ ส่วนงานที่จะไปทำ ถึงจะไม่ใช่งานมวลชนแต่ก็ต้องพบปะสัมพันธ์กับชาวบ้านแล้วเป็นจำนวนมากเสียด้วย ผมก็เก็บเอาความกลัว"ผิดผี" ติดตัวมาจนเดินทาง

จนกระทั่งเดินทางเข้า"ป่า "มาแล้วและอยู่ต่อมาอีกเป็นปีๆ ผมก็ยังขำความไม่รู้ของตัวเองอยู่นั่นแหละ พี่น้องชนชาติกระเหรี่ยงที่ผมมาอยู่ด้วยนั้น น่ารัก โอบอ้อมอารี และมีอารมณ์ขันเหลือเฟือ ดูแล้วก็ไม่มีทางที่ผมจะคอขาดเพราะเอาถ้วยชามไปล้างเลย ที่พวกเขาห้ามก็เพราะเห็นว่าเป็นคนมาจากในเมือง,เป็นนักศึกษามีความรู้ไม่สมควรต้องทำ เป็นอันว่าเรามาเถียงกันเรื่องความเท่าเทียมกันในกองทัพ ว่าถึงเป็นนักศึกษาก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆที่จะไม่ต้องทำงานอย่างนี้ มากว่าที่จะเถียงกันเรื่องผิดผีตัวไหน

ผมได้รับฟังและหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องผีที่พวกเขาเคยถือหรือยังถืออยู่ แต่ก็ไม่มีบรรยากาศดุเดือดเหมือนที่รับฟังมา ถ้าผิดผีของเขาก็มีโทษปรับ เช่น เหล้าหนึ่งขวด หรือเงินหนึ่งบาท อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่อยู่ที่ตาก ผมมีเรื่องเกี่ยวกับผิดผีครั้งเดียว จำได้ว่าเมื่อไปขึ้นบ้านมวลชนครั้งหนึ่ง พอปีนบันใดไปได้สักสองสามขั้น ขั้นบันใดเจ้ากรรมก็หักโครมลงมา ตัวผมลงมากองอยู่ข้างล่าง ได้ยินเสียงเอะอะกันขึ้นหลายคนเป็นห่วงมาช่วยพยุงผมขึ้น เจ้าของบ้านร้องว่า "ผิดผี ผิดผี" และพูดเป็นภาษากระเหรี่ยงอีกหลายคำ ผมฟังไม่เข้าใจ ก็ได้แต่นั่งคลำหน้าแข้ง นึกในใจว่า เอาวะ เอาไงเอากัน วันนี้มาผิดผีเสียได้ จะปรับเท่าไรก็จะยอมจ่ายละ เอ็ดตะโรกันพักใหญ่ ดูเหมือนแตงโม(เตโม)จะมาแปลให้ผมฟังว่า ถ้าผมขึ้นบันใดแล้วบันใดหัก แสดงว่าผมเอาของดีมาทิ้งไว้ที่บ้านเจ้าของแต่ถ้าขากลับลงบันใดแล้วหัก ถือว่าผมมาเอาของดีที่บ้านเขาไป ในกรณีนี้เป็นอันว่าผมเอาของดีมาทิ้งไว้ที่บ้านนี้และพี่น้องชนชาติเป็นฝ่ายผิดผีผม จากการนี้ผมได้รับเงินค่าทำขวัญเล็กน้อยพอเป็นพิธีและด้ายขาวหนึ่งปอย จำได้ว่าดีใจอยู่หลายปี

เรื่องฤาษีนี่สิ ที่ความรับรู้ของผมไม่ปะติดปะต่อพอที่จะเข้าใจได้ทั้งหมด เนื่องจากไม่ได้สัมพันธ์มวลชนและทหารชนชาติที่อยู่ด้วยก็เป็นวัยรุ่นวัยคะนองก้าวหน้าที่ไม่นับถืออะไรทั้งสิ้น อยากเป็นนักร้องอยากจีบสาวไปตามเรื่อง เมื่อไต่ถาม เขาก็เล่าในส่วนที่เขาคิดว่าผมควรรู้ซึ่งไม่ตรงกันเลย และความไม่เอาไหนในการสื่อสารเป็นภาษากระเหรี่ยงของผม จนผมคิดว่าต้องหาความรู้จากคนกระเหรี่ยงที่อยู่ในขบวนการมานานและสื่อสารภาษาไทยได้คล่องจึงจะพออธิบายให้ผมฟังอย่างเป็นระบบได้ ซึ่งคนคนนั้น ลงจากภูก่องก๊องข้ามแม่จันมาที่สำนักพอดี เขาคือลุงเหล็ก

ลุงเหล็ก เป็นชาวกระเหรี่ยงที่เข้าร่วมการปฏิวัติรุ่นแรกๆ พื้นเพของลุงอยู่ทางภาคกลาง เป็นชาวที่ราบทำนาทำสวน ลุงพูดไทยชัดและเข้าใจคนไทยโดยเฉพาะคนเมืองดี ถึงแม้การศึกษาในระบบจะไม่มากแต่ผ่านโลกผ่านการปฏิวัติมานาน ไปเมืองจีนมาแล้ว มีความรับรู้ทางการเมืองสูง ถ้าจะเทียบพรรษาในหมู่พี่น้องกระเหรี่ยงที่เข้าร่วมการปฏิวัติแล้ว ลุงน่าจะอาวุโสในระดับสมเด็จพระราชาคณะเลยนั่นแหละ

เนื่องจากเข็มมุ่งที่จะขยายฐานที่มั่นทางภาคตะวันตกให้เป็นผืนเดียวกัน ทางจังหวัดตากจึงมีทิศทางขยายงานลงใต้เพื่อบรรจบกับทางเขตราชบุรี แต่เป็นไปอย่างเชื่องช้าเพราะที่ตากเองก็มีปัญหาขาดแคลนผู้ปฏิบัติงานอยู่แล้ว ในที่สุด ทางเขตภาคกลางก็ได้ส่งสหายพงษ์และลุงเหล็ก ซึ่งถ้าจะเปรียบก็เทียบได้กับชั้น”อรหันต์ทองคำ” มาช่วยขยายงานทางตากลงไปบรรจบ ท่านหนึ่งเป็นมือดีทางการทหารส่วนอีกท่านหนึ่งเป็นผู้อาวุโสทางงานมวลชน ปรากฏว่าทำให้ขยายงานลงไปได้ดีพอสมควร แต่ก็ติดปัญหาการเดินทางเพราะเขตงานตากมันค่อนข้างห่างไกล เวลาและเรี่ยวแรงหมดไปกับการเดินทางเสียเป็นส่วนใหญ่
เมื่อได้ถามเรื่องฤาษีกับลุงเหล็ก ลุงตอบว่า

“ จะมาถามอะไรที่ผม ผมก็รู้พอๆกับสหายนั่นแหละ ผมอยู่แม่จันทะครั้งละสามสี่วันก็ต้องรีบกลับไปทางโน้น ไม่เคยคุยด้วยหรอก”

“ อ้าว ! ผมนึกว่าเป็นกระเหรี่ยงด้วยกันก็น่าจะรู้” ผมแย้ง

“ ไม่รู้หรอก มันไม่เหมือนกับทางบ้านผม ที่โน่นไม่มียังงี้หรอก เรื่องความเชื่อก็แบบเดียวกับคนไทยภาคกลางแหละ เข้าวัดทำบุญ เรื่องผีเรื่องสางก็มีบ้างอย่างเข้าเจ้าทรงผีก็เหมือนทั่วๆไปแหละ”

“นึกว่าจะรู้บ้างครับ”

“ไม่รู้หรอก มารู้ตอนเดินทางมาถึงเขตเหนือแล้ว ก่อนจะลงมาทางใต้ สหายที่นี่เล่าให้ฟังว่าทางใต้นับถือฤาษี ลุงยังนึกว่าที่นี่นุ่งหนังเสือถือไม้เท้ากันเลย”

“ ไฮ้ ! ไอ้ที่นุ่งหนังเสือนี่ลุงเอามาจากไหนครับนี่ “

“ อ้าว ฤาษีก็ต้องนุ่งหนังเสือสิสหาย ลุงเอามาจากหนังกลางแปลงที่ไปฉายแถวบ้านลุงบ่อยๆไง”

“ ฮ่วย ! “


2. ไม่รู้.....พระช่วย


เมื่อบันทึกถึงพระ ก็คงเดากันได้อีกนั่นแหละ ว่าเกิดขึ้นที่จะแก เพราะเป็นที่เดียวที่มีวัดและพระ และมีที่เกี่ยวข้องอีกหน่อยก็คือ ครั้งที่ยังอยู่ที่โรงเรียนการเมืองการทหารเรามีสหายร่วมรุ่นที่อาวุโสกว่าคนอื่นๆสองท่าน ท่านหนึ่งคือสหายสัจจะซึ่งมาจากกรรมกร ส่วนอีกท่านหนึ่งคือสหายดอนซึ่งสึกหาลาเพศมาจากพระ ทั้งสองท่านต่างคนต่างที่มากัน มาอยู่ร่วมกันช่วงสั้นๆในโรงเรียนฯ แล้วก็แยกกันไปทำงาน เมื่อเลิกปฏิวัติ ก็ต่างคนต่างมีที่ไปคนละทาง สหายสัจจะมอบตัวเป็นศากยบุตรและอยู่ใต้ร่มกาสาวพัตร์มาจนทุกวันนี้ ส่วนสหายดอนนั้นได้ทราบครั้งสุดท้ายก่อนข่าวคราวจะขาดหายไปหลายปีแล้วว่าไปเป็นกรรมกร

สหายดอนหรือลุงดอนตามที่พวกเราเรียกกัน เคยเล่าให้พวกเราฟังว่าตัวลุงนั้นบวชมาตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องจากเป็นคนเรียบร้อยและรักการเรียนรู้จึงสามารถสอบนักธรรมและเปรียญธรรมได้ขั้นสูงมีฐานานุกรมในระดับตำบลและระดับอำเภอมาตามลำดับ แต่เนื่องจากมีจิตใจรักความเป็นธรรมและจะไม่ยอมใครถ้ามีอะไรที่ไม่เป็นธรรม จึงมีปัญหากับผู้บริหารสงฆ์จนสุดท้ายต้องลาจากสมณะเพศ ประจวบกับทางจังหวัดตากต้องการผู้ที่สามารถสอนการทำนาแบบที่ราบภาคปฏิบัติได้ ทางจัดตั้งจึงส่งแกมาเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำนา แต่เท่าที่เคยคุยกันบ่อยๆ เห็นว่าที่แกมีความชำนาญจริงๆนั้น่าจะไม่ใช่เรื่องทำนาหากแต่เป็นเรื่องสงฆ์และกิจการของสงฆ์มากกว่า

ลุงดอนนี่เองเคยปรารภกับผมเมื่อเราได้ทราบว่าที่จะแกมีวัดและมีพระจำพรรษาอยู่ว่า ถ้ามีโอกาสแกจะไปจะแกสักครั้งหนึ่งเพื่อจะลองสอบทานดูว่าพระที่นั่นสวดปาติโมกข์ได้หรือเปล่า

“ สวดปาติโมกข์ไม่ได้มาจำวัดอยู่ในป่าอย่างนี้ไม่ได้หรอก เวลาเข้าพรรษาต้องสวดปาติโมกข์ตอนทำวัตรเย็นแล้วจะสวดได้ยังไง”แกว่า

ยังไม่ทันจะไล่บาลีกับพระแกก็ย้ายไปประจำหน่วยเทคนิคการผลิตที่เกริงโบเสียก่อน ขณะที่ผมก็ตามกองร้อย911ลงมาฝึกภาคสนามที่จะแก ครั้งนี้ได้อยู่จะแกเดือนกว่า จากที่เคยไปไหนมาไหนต้องมีสหายท้องถิ่นพาไปก็ค่อยๆคล่องขึ้น ผมมักออกไปหายิงกับสหายช่วงด้วยกันสองคนเสมอเมื่อมีเวลาว่าง ที่นี่เองเราได้อาศัยวัดเป็นที่ตั้งโรงเรียนการทหารภาคปฏิบัติชั่วคราว เนื่องจากเวลานั้น พระคุณเจ้าต่างพากันรอนแรมธุดงค์ไปที่อื่นหมดทั้งวัด ทางฝ่ายอำนาจรัฐจึงอนุญาตให้เราเข้าใช้ได้โดยระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหาย เมื่อกองร้อยเดินทางมาถึงก็ไม่ได้พบพระแล้วเพราะท่านออกเดินทางไปก่อน

วันนั้นไม่มีการฝึก จำได้ว่าเป็นวันที่เราเตรียมเสบียง ส่วนใหญ่ก็ช่วยกันตำข้าว,หาฟืนหรือออกไปหายิงสัตว์ มีส่วนหนึ่งไปหาซื้อน้ำตาลและปลากระป๋องที่จอห์นสโตร์,ซึ่งเป็นร้านค้าของเหมืองที่มีผู้จัดการเป็นแขกดำชื่อจอห์น เวลาเรียกขานกัน ก็ สหายจอห์น มิสเตอร์จอห์นหรือไอ้จอห์น แล้วแต่ว่างวดนั้นจะขอแบ่งซื้อของได้มาก ได้น้อย หรือไม่ได้เลย, งานที่ที่ตั้งชั่วคราวทำกันครึ่งวันก็เสร็จ ตอนบ่ายก็ออกไปเที่ยวเล่น ผมกับสหายช่วงเดินไปตามทางไปเหมือง เป็นการเดินทางสบายๆเพราะเป็นเขตชั้นใน เราเดินจนพบทางรถแล้วจึงเลี้ยวขวาเดินตามทางรถที่เป็นดินไปพ้นป่าไผ่ก็เป็นที่โล่ง

โน่น มาโน่นแล้ว เป็นขบวนเลย มีพระนำหน้ามาเชียวครับ หลวงพี่รูปที่เดินนำหน้าจีวรปลิวสีเหลืองอร่ามเลย แถมสวมแว่นดำเรย์แบนด์อีกต่างหาก ติดตามมาด้วยขบวนเณรน้อยและเณรโค่งสี่ห้ารูปแล้วมีอุบาสกอุบาสิกาอีกห้าหกคนปิดท้าย
แวบนึงที่คิดตอนนั้นก็คือ แล้วจะทักทายกับพระยังไงดี เอาตามปกติดีไหม คือจับมือเขย่ากัน สัญชาติญาณดั้งเดิมของผมปฏิเสธทันทีว่าไม่ได้ ไม่มีใครเขาทักทายพระกันแบบนั้นหรอก ตั้งแต่เด็กๆมาถ้าเจอพระผมก็จะนั่งยองๆยกมือไหว้ตามผู้ใหญ่ ถ้าอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนก็ยืนคำนับ อ้าว วันนี้ก็อยู่ในเครื่องแบบเหมือนกัน แต่เป็นเครื่องแบบทหารปลดแอกฯ นี่นา เราไม่มีประเพณีไหว้กันนี่ มีแต่จับมือกัน

ท่านผู้อ่านโปรดนึกภาพตามไปด้วย ว่าขณะที่ยังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี ผมหยุดเดินแล้ว แต่ขบวนของพระท่านยังไม่หยุด ระยะห่างระหว่างเราสั้นลงมาเรื่อยๆ

“ เอาไงดี สหายช่วง จับมือหรือไหว้ ดี “

“ ไม่รู้สิ จับมือดีกว่า ในนี้ไม่เห็นมีใครเขาไหว้กัน”

“ จับมือกับพระ ผมก็ไม่เคยทำเหมือนกัน”

“ นั่นสิ เอาไงดี ไม่น่ามาเจอกันตรงนี้เลย หรือเราจะหลบ “

“ เฮ้ย จะหลบได้ไง มาถึงแล้ว”

เสี้ยววินาทีนี้ผมคิดถึงลุงดอน

ครับ ท่านที่นึกภาพตามก็จะเห็นว่า ทั้งสองขบวนได้มาถึงกันแล้ว หลวงพี่ที่นำขบวนคงถึงพร้อมด้วยนานาธิมุตติกญาณ รู้อัธยาศัยแห่งสัตว์ มองทะลุความประดักประเดิดของเราออก ท่านช่วยแก้ปัญหาให้เราโดยสาวเท้าตรงมาที่เรา พลางยื่นมือขวาออกมาพร้อมกับกล่าว

“ อ้อ สหายมา สวัสดี สหาย”

เราจับมือกับท่าน จำได้ว่าพูดคุยกันคำสองคำ ก็แยกทางกันไป

เฮ้อ ! โล่งอกไปที


3. แขกที่เป็นแขกของสหายแขก


ท่านที่ติดตามมาคงจะไม่ค่อยแปลกใจเวลาที่เขียนถึงผี ฤาษี หรือพระ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเขตตากมีชนชาติกระเหรี่ยงเป็นหนึ่งในสองชนชาติหลักที่อยู่ในพื้นที่นั้น แล้วถ้าพูดถึงแขกล่ะ มันจะมาเกี่ยวข้องกันอย่างไร ผมคงต้องขอท้าวความนำทางท่านผู้อ่านสักหน่อย

สำหรับเขตเหนือของฐานที่มั่นตากนั้น ประชิดอำเภอแม่สอด เมื่อข้ามชายแดนแม่สอดเข้าไป คือดินแดนที่เป็นแหล่งรวมหลายชนชาติและแต่ละชนชาติก็มีพื้นที่ปกครองตนเองที่พอสมควร เราจะรู้จักมักคุ้นกับ ไทยใหญ่,กระเหรี่ยง,มอญหรือว้าซึ่งอยู่ประชิดบ้านเราและมีข่าวเกี่ยวกับชนชาติเหล่านี้เสมอ แต่ถ้าทางตะวันตกของพม่าซึ่งติดกับอินเดียทางแคว้นอัสสัมและบังคลาเทศ ชนชาติส่วนน้อยทางนั้นเช่นพวกที่อยู่ทางเทือกเขาอาระกันมักจะออกไปทางอินเดียหรือบังคลาเทศที่เราเรียกรวมๆว่า”แขก”นั่นเอง และเป็นเชื้อสายเดียวกับ”แขก”ที่อยู่เมืองไทยนี่แหละครับ ดูไม่แตกต่างกันหรอก เส้นทางด่านแม่สอดเคยเป็นเส้นทางหลบหนีเข้าเมืองของ”แขก”ที่ผมเล่ามานี้ก่อนที่จะมีแรงงานพม่า-กระเหรี่ยงดังเช่นทุกวันนี้

ที่ชื่อเรื่องว่าแขกนั้น รับประกันความพอใจว่าเกี่ยวกับแขกจริงๆ เกี่ยวข้องกับ”แขก”คือ ในฐานที่มั่นเขตเหนือได้มีโอกาสต้อนรับ”แขก”จริงๆสองคนมาเป็นแขกของเขตงานอยู่พักนึงและที่สำคัญบุคคลที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้ตลอดเรียกว่าเป็นพระเอกก็ได้หน้าหล่อเหมือนแขก

ครับ โหมโรงแล้ว ออกแขกแล้ว เราก็ปล่อยตัวพระเอกออกมาร่ายรำกันเสียที สมมุตินามตามท้องเรื่อง
พระเอกของเราวันนี้ทอลล์ดาร์คแอนด์แฮนด์ซัม ถ้าพบตัวก็ต้องสันนิษฐานเป็นอย่างเดียวกันว่ามีเชื้อสายเป็นแขกแน่ๆ หน้าตาหล่อเหลาในระนาบเดียวกับ อมิตาป ปัจจัน หรือ ราช การ์ปูร์ มีชื่อที่ใช้ในการแสดง ขอโทษ ชื่อจัดตั้งว่าสหายแค้น เมื่อเลิกปฏิวัติและเลิกใช้ชื่อนี้ เพื่อนๆก็หันไปเรียกแกว่า”แขก”กันหมด ชื่อนี้เลยกลายเป็นชื่อเล่นไป

สหายแค้นเข้าป่าหลังเหตุการณ์หกตุลา19ไม่นาน เข้าใจว่าประสบการณ์ที่เจ็บปวดจากการถูกปราบปรามจับกุมคุมขัง เลยตั้งชื่อว่า”แค้น” ก่อนเข้าป่ามาสหายเรามีอาชีพเป็นนักดนตรี มีฝีมือระดับเยี่ยม คือเล่นในวงฟิลิปปินส์ตามโรงแรมห้าดาวในขณะนั้น หลังจากเข้าป่ามาปฏิวัติแล้วก็ได้ประจำอยู่ในกองร้อย911เขตเหนือ เนื่องจากที่เขตนี้การศึกสงครามค่อนข้างชุกโดยเฉพาะการขัดขวางการสร้างเส้นทางสายแม่สอด-อุ้มผาง เมื่อมีการจัดศึกษาและรวมกองร้อยทหารหลักทั้งจังหวัดขึ้นที่จะแก เขตเหนือจึงได้แต่ส่งสหายใน911เหนือเข้าร่วมส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่เหลือต้องยืนหยัดรับศึกดังกล่าว สหายแค้นอยู่ในพวกหลังนี้
สหายแค้นร้องและเล่นเพลงฝรั่งที่เปิดกันยุคนั้นได้ทุกเพลง อาจจะโดยอาชีพดั้งเดิมก็ได้ ในส่วนตัวแกเองประกาศตัวว่าเป็นสานุศิษย์ของวง The Beatle ตอนที่ทราบข่าวทางวิทยุBBC ว่า JOHN LENON ถูกยิงเสียชีวิตที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ได้ทราบว่าแกเสียใจมาก ครั้นเมื่อออกจากป่ามาแล้วได้ข่าวว่าสหายเราไปบวชอยู่ที่วัดแค นางเลิ้ง นานพรรษาหนึ่ง มีโอกาสไปกราบหลวงพี่แขก แกบอกสั้นๆว่า “บวชอุทิศส่วนกุศลให้เลนน่อน”

ปลายปี2522 ผมมีเหตุต้องลงมากรุงเทพฯเพื่อเดินทางต่อไปเขตอีสานเหนือระยะหนึ่ง ช่วงนั้นช่องทางการติดต่อของทางเขตใต้กับในเมืองสะดุด จึงต้องเดินทางมาทางเขตเหนือเพื่อใช้ช่องทางเขตเหนือที่ยังใช้งานได้ปกติ เมื่อมารอเมล์ที่เขตนี้ผมได้มาพักอยู่ที่โรงเรียนบ้านห้าหลังซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่บรรดาสหายทางเขตเหนือจัดสัมมนาสรุปงานและเปิดให้วิจารณ์การบริหารงานของทางเขตพอดี นับเป็นการรวมสหายเกือบทั้งเขตงาน ผมซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะแค่ผ่านทางมาพร้อมกับสหายช่วงได้อาสาเป็นพี่เลี้ยงทำหน้าที่หุงหาอาหารในครัวร่วมกับสหายทางเขตเหนือที่สลับกันมาเข้าเวรพี่เลี้ยง การเตรียมอาหารทางเขตเหนือนับว่าสะดวกกว่าทางใต้เพราะเขตนี้เศรษฐกิจค่อนข้างดีและประชาชนสนับสนุน เรื่องข้าวสารและฟืน พี่เลี้ยงทั้งหลายก็สบายไปตามๆกัน
จำได้ว่าสัมมนากันมาหลายวันจนมาถึงวันที่เสนอความเห็นต่อทางฝ่ายนำ วันนั้นผมและสหายช่วงเข้าครัวพร้อมสหายแค้น เราเตรียมอาหารมื้อเย็นกันตั้งแต่วันโดยตั้งใจว่าจะตีเกราะกินข้าวกันวันหน่อยแล้วเราจะออกไปบ้านประชาชนเพื่อหาซื้อหมูมาเตรียมจัดงานวันปิดประชุม แต่การอภิปรายในวันนั้นกลับยืดเยื้อเลยเวลารับประทานอาหารเย็นตามปกติออกไปอีก เราคาดกันว่าคงมีการเสนอปัญหาและการอภิปรายโต้แย้งกันดุเดือด ดูได้จากสีหน้าของสหายบางส่วนที่ลงมาเอาน้ำต้มในครัว ผมถามหมอมงคลว่าไปถึงไหนแล้ว หมอตอบว่า

“ อภิปรายกันดุเดือดมาก ป่านนี้คงเข้าตลุมบอนกันแล้วมั๊ง”

ยิ่งเย็นก็ยิ่งได้ยินเสียงอภิปรายลอดออกมาดังขึ้นเรื่อยๆ จะตีเกราะเคาะไม้เรียกรับประทานข้าวก็คงไม่เข้ากับบรรยากาศนั้นเสียแล้ว เราปล่อยเลยตามเลย เลิกคิดเรื่องไปบ้านประชาชน สหายแค้นเดินข้ามไปหยิบกีต้าร์มาสองตัว กลิ้งครกตำข้าวเก่ามาที่หน้าประตูครัวนั่นเอง แล้วแกก็ถามผมว่า เล่นเพลงฝรั่งได้หรือไม่ ผมออกตัวว่าเล่นได้เฉพาะเพลงโฟล์คง่ายๆเท่านั้น เท่าที่ทราบมาว่าแกเคยเล่นอยู่กับวงฟิลิปปินส์ ถ้าจะเล่นให้ชมเป็นขวัญตา ผมก็จะขอบคุณมาก แกยิ้มๆ แล้วก็บอกว่าจะเล่นเพลงของ Simon & Garfungel ให้ฟัง
ภาพในวันนั้น ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ สหายแค้นยืนร้องและเล่นเหมือน พร ใส่หมอน มีสหายช่วงยืนร้องคลอเหมือน อาจ กัดฟันเก่ง มีผมเป็นผู้ชมเพียงคนเดียว เมื่อเริ่มเล่นintroนั้น เสียงที่อภิปรายยังดังลอดลงมาถึงครัวอยู่ พอร้องกันมาถึงกลางเพลงผมรู้สึกว่ามีคนมานั่งข้างๆสองสามคนหันไปดู พี่หมอและสหายเรานั่นเอง ตอนนั้นเสียงอภิปรายเงียบลงแล้ว ปรากฏเป็นแถวของสหายพรั่งพรูผ่านประตูมุ่งลงมาที่ครัว เปล่าครับ ไม่ได้เดินไปตักข้าวในครัว กลับทรุดตัวลงนั่งหน้าครัวร่วมร้องเพลง เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเพลงฝรั่งในป่าที่ร้องกันดังขนาดนี้ ผมกับสหายช่วงเลี่ยงออกมาเพื่อเตรียมตักอาหารในขณะที่ผู้ร่วมร้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เสียงเพลงสลายความแข็งกร้าวของการโต้เถียงลงไปจนหมด สหายช่วงกระซิบกับผมที่หน้ากระทะหุงข้าวว่า

“แม้เสียงปี่เป่าไปให้ได้ยิน ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา “

นี่เป็นความประทับใจครั้งแรกที่มีต่อ อมิตาบ ปัจจัน ของพวกเรา

ผมยังรอเมล์ต่อมาอีกหลายวัน ระหว่างที่พักรออยู่ที่โรงเรียน สายวันหนึ่งมีสหายพี่น้องม้งที่เป็นทหารแวะมาแจ้งว่าสหายแค้นต้องการให้ผมและสหายช่วงไปที่สำนักทหารของแกทันที สอบถามจากผู้ที่มาแจ้งข่าวก็ไม่ทราบว่าอยากพบด้วยเรื่องอะไรแต่กำชับให้เราเอาเสื้อผ้าเครื่องนอนไปด้วยเผื่อว่าต้องค้างคืนก็จะได้ไม่ต้องกลับมาที่โรงเรียนให้เสียเวลา เราสองคนเก็บข้าวของเสร็จก็ออกเดินทางทันที ใช้เวลาสักชั่วโมงก็ถึงสำนักทหาร เราพบสหายแค้นที่โรงพักของหน่วย แกไม่พูดพล่ามทำเพลง ยื่นกระดาษเปล่าให้หลายแผ่น แล้วแจ้งภารกิจให้เราทันที

“ ผมอยากให้คุณสองคนช่วยสอบเชลยหน่อย”

“ อ้าว สอบสวนก็ต้องให้สหายชาญผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารกำหนดตัวคนมาซักถามสิ หรือถ้าเป็นคนหลงเข้ามาก็ต้องให้อำนาจรัฐเป็นผู้รับผิดชอบ”

“ ผมรู้ ผมรู้ แต่มันมีปัญหาคือ เชลยสองคนเป็นพวกกองพล93ที่มาคุ้มครองเส้นทาง แล้วยังไงไม่ทราบ คงจะหนีทัพหลงเข้ามาในเขตเรา ไม่ได้กินข้าวมาเป็นอาทิตย์ ทหารบ้านเราลาดตระเวนไปเจอเข้าเลยควบคุมตัวมา ต้องให้น้ำเกลืออยู่วันนึง นี่ค่อยอาการดีขึ้นแล้ว”
“ ผมยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี”

“ ผมยังพูดไม่จบ คือสองคนนี้พูดได้แต่ภาษาพม่ากับอังกฤษ เท่านั้น สหายธงที่พูดพม่าได้ก็ไม่อยู่ ผมอยากให้คุณสองคนช่วยสอบเป็นภาษาอังกฤษหน่อย”

สหายช่วงเข่าอ่อนต้องทรุดตัวลงนั่งบนกระบอกไม้ไผ่เก่าๆแถวนั้น ส่วนผม สหายช่วงบอกตอนหลังว่าหน้าซีดเหมือนกระดาษที่ถืออยู่ในมือ ตายห่า กะอีแค่ร้องเพลงฝรั่งได้นี่นะ จะให้สอบสวนเป็นภาษาอังกฤษ แต่เมื่อคิดจากสภาพที่เห็นอยู่ ก็ป่วยการที่จะมาท้อถอย อะไรทำได้ก็ทำไปตามมีตามเกิดก็แล้วกัน

“เอาก็เอา ผมจะลองดู แต่สหายอย่าคาดหวังว่าจะได้อะไร ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าจะถามอะไร และจะถามเป็นภาษาอังกฤษว่ายังไง”

สหายแค้นแสดงอาการดีใจ จนออกนอกหน้า บอกว่า

“ ดีมากครับ มา ผมจะพาไปพบพวกเขา ความจริงดูแล้วก็ไม่ใช่พวกปฏิกิริยาหรอก คงถูกกวาดต้อนบังคับมาเป็นทหารเลยหนีทัพมาหาพวกเรา น่าสงสารมากแต่กินจุจังเลย นี่มาม่าของผมหมดสำนักแล้ว ผมส่งทหารไปขอเบิกกับหน่วยพลาฯที่สำนักสหายประโยชน์ยังไม่กลับมาเลย”

“ คุณให้พวกเขากินมาม่าต่างข้าว เท่าไรมันจะไปพอ ทำไมไม่ให้พวกเขากินแบบที่เรากินกัน”

“ โอ๊ย!ไม่ได้หรอก พวกเขาเป็นแขก แขกจริงๆนะสหาย แขกแบบผมนี่แหละ แถมนับถือศาสนาอิสามด้วย สำนักผมเพิ่งซื้อหมูมาตัวนึง ทำเค็มไว้กินกันหลายวัน กับข้าวทุกอย่างมีหมูหมด พวกเขาสองคนเลยได้กินแต่มาม่า”

พวกเราคงพูดถึงมาม่าดังไปหน่อย ทันใดนั้นประตูกระท่อมก็เปิดออก มี”แขก” โผล่ออกมา นุ่งโสร่งเก่าๆ หน้าตาซูปเซียว

“ สหายแค้น ไอแอมฮังกรี้ 2 มาม่า “ พลางชูสองนิ้วประกอบการสื่อจำนวนที่ต้องการ

ผมใช้เวลาคุยกับเขาสองคนจนดึก แล้วต่อวันรุ่งขึ้นอีกครึ่งวัน ดูแล้วสองคนก็ไม่น่าจะมีฐานะเป็นเชลยศึกแต่อย่างไร เพราะถูกบังคับกะเกณฑ์มาเป็นหน่วยกองหน้าสร้างทาง โดยทหารพม่าบังคับตัวมาให้ทหารกองพล93ที่ขณะนั้นคุ้มครองการสร้างทางอยู่ เมื่อมาถึงก็ได้รับแจกปืนคนละกระบอกพร้อมคำสั่งให้ออกเดินหน้า ห้ามถอยเด็ดขาด ถ้าถอยจะถูกยิงทิ้งทันที เขาทั้งสองคนกลัวมาก เมื่อมีโอกาสจึงหลบหนีเข้าป่าลึก อดอาหารอยู่หลายวันจนทหารบ้านไปพบเข้า

รุ่งขึ้นตอนบ่าย ผมสรุปสิ่งที่ซักถามกับสหายแค้นพร้อมทั้งเสนอความเห็นว่า ถ้ารักษาตัวพวกเขาหายดีแล้วก็น่าจะปล่อยตัวกลับไปให้กลับถิ่นฐานบ้านเดิมเสียหรือถ้าจะเดินหน้าหลบเข้ามาหาทางขายถั่วในเมืองไทยก็แล้วแต่ ถ้าจะชักชวนให้มาร่วมกันปฏิวัติไทยก็คงลำบากเพราะพูดกันไม่รู้เรื่องแถมอาหารการกินก็คงไม่เหมาะที่จะอยู่เขตม้งแน่ๆแล้วจะให้กินแต่มาม่าก็คงไม่ไหว เออ กลับบ้าน เหอะ

“ สรุปว่าที่คุณซักถามก็เท่ากับที่ผมรู้จากพวกเขาแค่นั้นใช่ไหม?”

“ มากกว่านิดนึง ผมถามแล้ว เขาชื่อ โมฮัมหมัด อาลี กับ โมฮัมหมัด บอโร อ้อ เขาชอบ เดอะ บีทเทิล เหมือนคุณด้วย ที่ต่างกันก็คือเขาชอบ จอร์จ แฮริสัน มากที่สุด”

ผมเดินจากมา คิดถึง”แขก”ของสหาย”แขก”ที่เป็น”แขก”จริงๆ ทั้งสองคน อยู่ตั้งไกลแสนไกล โชคชะตาเล่นตลกให้มาเจอกัน ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ขอให้โชคดีเถอะ บัง

......สะลาม มัยเลกุม.........

No comments:


Blog Archive