Saturday, January 20, 2007

ส.สัมพัทธ์ กับ Moby Dick แห่งแม่จันทะ


ขอยืนยันว่าสหายสัมพัทธ์(ต่อไปใช้สรรพนามว่า ลุง)ทอดแหเก่งมาก
ที่กล้ายืนยันเพราะผมเคยปฎิบัติการหาอยู่หากินกับลุงหลายต่อหลายครั้ง เมื่อลุงมาอยู่แม่จันทะผมก็เป็น buddy ของลุง เราแบ่งงานกันทำตามความสามารถ การทอดแหนั้น ปกติถ้าทอดในแม่น้ำช่วงที่เป็นหาดกรวดหรือทราย น้ำตื้นและไม่มีหินก้อนใหญ่ๆใต้น้ำจะทอดง่าย พอตีนแหตกลงท้องแม่น้ำก็ค่อยๆสาวแหกลับ ก็จะได้ปลา แต่การทอดในทำเลอย่างนี้มักได้ปลาตัวไม่ใหญ่ ส่วนทำเลที่ปลาตัวใหญ่ๆชอบมาอยู่ก็คือใต้ก้อนหินที่เป็นวังน้ำลึก บางแห่งประมาณสองช่วงคนต่อกัน วิธีการก็คือทอดแหลงคลุมหินไว้แล้วค่อยๆดำลงไปปลดแหออกจากหิน ถ้าคลำไปเจอปลาที่ยังไม่ติดตาข่ายแห ก็ต้อนหรือจับให้เหงือกปลามาติดตาข่าย ปลาจะว่ายหนีไม่ได้ ค่อยๆปลดค่อยๆสาวจนกู้ขึ้นมาได้ทั้งหมด วิธีนี้นานหน่อยแต่ได้ปลามากและตัวใหญ่ๆทั้งนั้น ตรงนี้แหละครับที่เราเป็นbuddyกัน เพราะลุงแกว่ายน้ำไม่เป็นส่วนผมทอดแหไม่เป็น รวมกันเราอิ่ม แยกกันเราอด


วันที่พวกเราเผชิญหน้ากับเจ้าปลายักษ์ วันนั้นเราไม่ได้ตั้งใจจะไปหาปลาแต่ต้องไปขนหน่อต้นกล้วยที่ไร่ประชาชนมาปลูกหลังสำนัก มีลุงเปาะซ่า(ปลดแอก)นำสหายส่วนนึงเดินล่วงหน้าไปก่อนเพื่อขุดหน่อกล้วย ส่วนพวกเราเอาแพล่องลงตามน้ำไป ตั้งใจว่าจะขนหน่อกล้วยขึ้นแพมามากๆแล้วช่วยกันถ่อทวนน้ำกลับมาสำนัก เพราะขี้เกียจแบกเดินกลับมา ที่ไปกันวันนั้น ก็มี ลุง,ผม,หม่อนท่อน,แตงโม,ศรัทธา และสหายเดช อีกคนจำไม่ได้ เราล่องแพจนเกือบจะถึงจุดที่ผูกแพแล้วเดินตัดขึ้นไร่ตระว่องพู (ประชาชน-ขี้เกียจลบ) ดูเหมือนว่าจะเป็นลุงนี่แหละที่เสนอว่าเราหยุดทอดแหสำหรับมื้อกลางวันกันจะดีกว่าซึ่งขัดกับความเห็นของทุกคนที่เหลือคือ "ไม่ใช่ดีกว่าแต่ดีที่สุด"


ลุงแกเลือกหินไว้แล้ว เราบังคับแพให้ลอยเข้าใกล้จากนั้นแกก็บรรจงเหวี่ยงด้วยท่วงท่าที่งดงาม แหปากนั้นใหญ่ที่สุดในสำนัก มันกางแผ่ออกเป็นวงกลมโค้งลงครอบหินใต้น้ำก้อนนั้น เรารออีกพักนึงให้ตีนแหตกแนบหินตามกรรมวิธี ส่วนผมก็ปลดโสร่งออก ประจำสถานีรบที่ท้ายแพเตรียมหย่อนตัวลงน้ำ ขณะนั้นเอง พวกเราทุกคนได้ยินเสียงครืนๆเบาๆเหมือนเสียงฟ้าร้องมาไกลๆ เราชะงัก มองหน้ากัน เสียงครืนๆดังมาอีก เราก็ช่วยกันฟังอยู่พักนึง ทุกคนก็สรุปว่ามันดังมาจากใต้ก้อนหินที่เราทอดแหคลุมไว้นั่นเอง ส่วนผมเอง,ในขณะนั้นรู้สึกว่าน้ำในแม่จันมันหนาวยะเยือกชอบกล หันมาดูทุกคนก็เงียบกันหมด ถ้ามากับลุงสองคนอย่างที่เคยไปทอดมาผมก็คงไม่กล้าลงแน่ๆ แต่ก็เป็นไปตามคำพังเพยจีนที่ว่า "กำลังคนมาก ขวัญกล้าแข็ง"
ผมตัดสินใจดำลงไปดู เราลืมตาในน้ำมันก็ไม่ชัด แต่ก็ได้เห็นเจ้าปลากดคัง ความยาว ประมาณ 4 เมตร อย่างที่คนกระเหรี่ยงบอกว่าขนาดเด็กเจ็ดขวบมันน้อยไปด้วยซ้ำ เท่านั้นเองผมก็ตะลีตะลานขึ้นจากน้ำมารายงานทันที


น่าแปลกที่วันนั้น,ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าจะต้องจับให้ได้ ทั้งๆที่ทุกคนในที่นั้น ไม่มีประสบการณ์จับปลาใหญ่ขนาดนี้ด้วยแหเลย เราไม่รู้แม้กระทั่งว่า ปลาเมื่ออยู่ในน้ำมันมีกำลังมหาศาลขนาดไหน เราทำตามความเคยชินที่จับปลาขนาดเล็กก็คือพยายามตะล่อมให้มันติดแห,ค่อยๆปลดแห แล้วลากขึ้นมาบนแพ จากนั้นถ้าดิ้นรนขัดขืนก็เอาถ่อนั่นแหละ ทุบหัวแบบปลาช่อนปลาดุกในตลาด เจ้าปลายักษ์ติดแหอยู่แล้วเพราะตัวมันใหญ่ เราค่อยๆพลิกตีนแหด้านที่มันไม่อยู่ ไม่สนใจปลาตัวเล็กๆที่ติดแหเลย ตอนนี้เจ้าปลายักษ์ดิ้นรนเต็มที่แล้ว แต่เนื่องจาแหติดหินอยู่ ลุงแกก็ยืนสาวเชือกแหอยู่บนแพกับสหายเดช(ด้วยเหตุผลเดียวกัน) แตงโม,หม่อนท่อน และศรัทธา ค่อยๆปลดแหจากอีกสามด้านที่เหลือ ผมในฐานะผู้บังคับบัญชา ก็จำใจต้องอยู่ด้านเจ้าปลายักษ์
ขณะที่เราลงดำใต้น้ำ แรงดิ้นรนมหาศาลมันทำให้เส้นตาข่ายแหที่เป็นไนล่อนสั่นเป็นเสียงที่เราฟังในใต้น้ำน่ากลัวมากแต่เราก็ช่วยกันปลดออกจนเหลือด้านผมด้านเดียว และเหลือแง่หินใหญ่อยู่แง่เดียวเท่านั้น ตอนนี้ทุกคนนอกจากผมขึ้นมาบนแพกันหมดแล้วเพื่อช่วยกันสาวเชือกแห ลุงร้องสั่งให้ผมปลดแหจากแง่สุดท้าย เท่านั้นเอง แรงกระชากครั้งแรกหัวแพหลุดจากหินที่ขัดไว้ ครั้งที่สองแพพลิกคว่ำลงทันที่ แต่เชือกแหไม่หลุดจากมือลุงเพราะแก "ตราสัง" ไว้เสียแน่น แกปีนขึ้นแพได้ก่อน นั่งบนหัวแพชักคะเย่อกับเจ้าปลายักษ์เพียงคนเดียว ปากก็ร้องสั่งบัญชาการให้พวกเรารีบกลับขึ้นแพช่วยกันสาวเชือก


ภาพที่ประทับใจเกิดขึ้นตรงนั้นแหละ ลุงเหมือนกัปตัน อาฮับ เผชิญหน้ากับเจ้า Moby Dick เลย เราต้องว่ายน้ำตามแพเพราะเจ้าปลายักษ์ขณะนี้ลากแพและลุงมากลางแม่น้ำแล้ว พอทยอยกันขึ้นมาได้ ก็เบียดๆกันบนนั้นแหละ ช่วยกัน ฮุยเลฮุย จนหัวเจ้าปลายักษ์มาเกยแพ ความใหญ่ของมันทำให้เราตกตะลึงเสียงเอะอะเอ็ดตะโรฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ที่จำแม่นก็คือสหายเดชที่พลัดตกจากแพแล้วตะเกียกตะกายขึ้นไปยืนบนหินกลางน้ำก้อนหนึ่ง, ด้วยความตื่นเต้น, แกชี้ไปที่ปลาแล้วร้องตะโกนว่า “ จั๊ดก๋านมันเลยเฮ้ย”
เราลากจนหัวมันมาเกยแพ ดูจากสถานการณ์ทั้งสองฝ่ายแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำให้มันหมดกำลังลง จากประสบการณ์ในภายหลังเราจึงรู้ว่าถ้าเราออกแรง(ที่ใกล้หมด)แข็งใจลากขึ้นมาอีกนิดเดียว มันก็สิ้นฤทธิ์ แต่ในตอนนั้นเราตัดสินใจใช้ไม้ถ่อแพที่เหลือขัดติดแพอยู่อันเดียวทุบหัวมัน ซึ่งทำให้การชักคะเย่อต้องยืดเยื้อออกไปอีกเพราะคนทุบทุบไม่ถนัด กลัวพลาดไปโดนหัวสหายเรา มันชุลมุนยุ่งเหยิงกันไปหมด


อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเราก็สามารถลากขึ้นแพมาได้ เอากลับสำนัก จากนั้น กระบวนการตั้งแต่เอาขึ้นจากแพไปจนถึงโรงครัวสุดท้ายที่หม้อแกง ผมก็ไม่ทราบแล้ว มันก็กลายมาเป็นความทรงจำเรื่องเจ้าปลายักษ์กับลุง ที่จำได้จนทุกวันนี้ครับ


___________________________

เคยลงใน http://www.thaioctober.com/ เมื่อ 2 เมษายน 2005, โดย Chingkang Mts.




No comments:


Blog Archive